
ชีวิตคนเรามันก็เหมือนคลื่น จะมีช่วงขาขึ้นขาลงบ้าง ดวงดีดวงซวยอะไรก็ว่าไป แต่จะทำยังไงในเมื่อชีวิตยังไม่ได้แก้ชง เพราะไม่มีเวลา ! เที่ยวก็ต้องเที่ยว ! งานก็ต้องทำ ! ทั้งบ้าเที่ยวบ้างาน จนวันนึงร่างกายเริ่มงอแง หนำซ้ำยังไม่ยอมนอนเพราะมัวแต่ไปทำสองสิ่งเมื่อกี้จนเล่นโซเชียลได้เสียผู้เสียคน
แน่นอนว่าไม่ได้ชอบชีวิตตัวเองแบบนี้เลย ยิ่งทำสิ่งที่คิดว่าชอบ แต่เอ๊ะ ทำไมมันชักเซ็ง ตกดึกๆก็เซ็ง ไถทามไลน์จนไม่มีอะไรจะอ่านละ นอนก็หลับไม่ลง
สิ่งแรกที่ตระหนักขึ้นได้ (หลังจากใช้ชีวิตงงๆมานาน) เนื่องจากที่ออฟฟิศมี club ที่รวมกันอ่านหนังสือ Refactoring: Improving the Design of Existing Code โดยที่ทุกวันพุธทุกคนจะมาร่วมแชร์และพูดคุยกัน
ปกติที่มันก็อ่านๆแล้วจบๆไป แต่พอถึงคราวที่เรามีโอกาสพูดคุยกับสิ่งที่เราอ่าน ก็ฉุกคิดได้ว่า
“นี่เราชอบอ่านหนังสือนี่นา แล้วที่ผ่านมาเราทำอะไรอยู่นะ?”
จุดเริ่มต้นความคิดนี้เลยทำให้เราตัดสินใจค่อยๆเปลี่ยนนิสัยตัวเอง
1. ห่างจากโซเชียลบ้าง
พอรู้ว่าชอบอ่านหนังสือ แต่การกระทำตรงกันข้าม
นั่นก็คือ วันๆอ่านหนังสือลิมิตแค่ 280 ตัวอักษรต่อทวีต แต่หล่อนอ่านทั้งทามไลน์มันก็ไม่ด้ายยยย
เลยตัดสินใจ ลบ ! ลบมันเลยทั้งแอพ โดยไม่คิดจะโหลดกลับมาอีกรอบ
เหตุผลที่สนับสนุนการลบมีหลายเหตุผลมากๆ คือ
1. เพราะ: เรื่องที่อ่านเจอมีแต่เรื่องสัพเพเหระ
รีวิวครีม รีวิวเครื่องสำอาง รีวิวทุกอย่างบนโลก เรื่องบ่น เรื่องสาระที่โผล่มาบ้าง และเรื่องที่เป็นกระแสอยู่ในช่วงนั้นๆ
เลยบอกกับตัวเองว่า เออจริงๆเราก็อยาก stay update ตลอดเวลาน่ะแหล่ะ งั้นก็ไปอ่านข่าวพอ ไม่ต้องไปอ่านด้านที่เขารับรู้ข่าวแล้วกลั่นมาอีกที
2. เพราะ: ถ้าทวิตแล้วไม่ได้คุยสังสรรค์กับเพื่อนมากขึ้น งั้นก็อย่าเลย
ไปเล่น Facebook เถอะ (ช่วงหลังๆไม่มีคนคุยด้วย) อนึ่งคือถ้าเราคิดว่าเราไม่มีเวลาแต่ยังอยาก keep in touch กับเพื่อน งั้นจงไปหา platform ที่สนับสนุนเรื่องนี้ไปเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากลบ twitter ไป คือ เราเลิกคิดวนไปวนมา เราเลิกคิดว่าเราอยากทวิตว่าอะไร บางครั้งที่เรายึดติดกับสิ่งๆนั้นมันเหมือนหลอมรวมเข้ากับความคิดที่คิดขึ้นแล้วพิมพ์ออกมา ยิ่งทำให้เราจมอยู่กับตรงนั้น
อีกอย่างที่ดีขึ้นมากคือ เลิกนอนดึกได้ และหลับเร็วขึ้น เพราะความคิดอะไรที่มันแล่นๆในหัว ก็จะมาทวิตอีก กลายเป็นว่าหยุดคิดไม่ได้ก็นอนไม่หลับ
แต่เดี๋ยวก่อน ในเมื่อลบ Twitter เราก็ยังมี Instagram กับ Facebook อยู่
เราก็ยังเลือกที่จะไม่ตัดขาดจาก 2 แอพนี้ แต่เพียงค่อยๆปรับนิสัย
รู้หมือไร่ ทั้ง Instagram และ Facebook มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า “Time on Instagram/ Facebook”
มันจะแสดงเวลาเฉลี่ยที่เราเล่นในช่วงระยะ 7 วัน
Key ของมันคือ มันตั้งเตือน(สติ)ได้ด้วยว่าเราเล่นไปครบกำหนดที่เราตั้งไว้


2. วิ่ง
เราพูดได้ว่าสิ่งหนึ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตคือการวิ่ง แต่เราทอดทิ้งมันไปในช่วง1–2 ปีมานี้
เราวิ่งน้อยลง บางครั้งก็ไม่ได้วิ่งเลยในอาทิตย์หนึ่งๆ และยิ่งห่างจากมันมากขึ้นเท่าไร ข้ออ้างที่มีต่อมันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ภาษาบ้านๆเรียก ขี้เกียจ
ก่อนหน้านี้ เราชอบแพลนว่า วิ่งวันจันทร์นะ อังคารเวท เช้าไปวิ่งนะ อีกวันค่อยพักกลัวกล้ามเนื้อทำงานหนัก หลักการต่างๆอีกมากมาย ฯลฯ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เพราะมีเรื่องมาตลอด
เราจึงปรับความคิดใหม่ งั้นวิ่งให้ได้มันทุกวันเลย แล้วอีเรื่องที่ชอบวิ่งเข้ามาหามันก็จะมากวนทีหลังเองน่ะแหล่ะ แต่ก่อนอื่น But first, GO FOR A RUN
และบังเอิญว่าช่วงที่เราปรับความคิดพอดี เราชวน @antiraloachote ไปวิ่ง นางก็ช่วยเป็น pacer เราในการวิ่งครั้งนั้นด้วย
ปกติเราจะวิ่ง 5 โลในเวลา 40 นาทีขึ้นไป โดยที่จะวิ่ง 800 m สลับ เดิน 200 m
กลายเป็นตอนนั้นพยายามวิ่งตาม @antiraloachote ให้ได้จนกลายเป็นวิ่งคงที่ตลอดประมาณเพซ 6 ปลายๆ
กลับกลายเป็นเราวิ่ง 5 โลภายใน 34 นาที !
ซึ่งด้วยสถิติที่ไม่เค๊ยยไม่เคยทำมาแล้วเป็นปี แต่อยู่ๆก็กลับมาทำได้เนี้ย มันเปลี่ยนความคิดเราแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า
การวิ่งเร็วขึ้น มันจะจบเร็วขึ้น เวลาที่ใช้พอๆกับ 1 episode ของซีรี่ย์เรื่องหนึ่งเอง
เรากลับมาถามตัวเองว่า เราใช้เวลานิดเดียวในการวิ่ง อย่างนี้เราจะยังมีข้ออ้างกับมันได้เหรอ
เราเคยรักการวื่งเพราะการเอาชนะตัวเอง สุดท้ายเราก็กลับมารักมันด้วยเหตุผลเดิม
แต่การกลับมาครั้งนี้ สิ่งที่เรารู้เพิ่มเติมคือ
“เพียงครั้งแรกที่เราทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้เสมอในครั้งถัดๆไป”
3. ตื่นเช้า
ข้อนี้เหมือนข้อที่หลอกหลอนทุกๆคนว่าดี ซึ่งไม่ว่าชีวิตจะเจอคนพูดว่าตื่นเช้าดีอย่างไรก็จะไม่มีวันเข้าใจถ้าไม่ทำด้วยตนเอง
ซึ่งเหตุผลที่เราตื่นเช้า มันเกิดเพราะเป็น cycle ของการเลือกแล้วว่าจะไปวิ่ง
ไปวิ่ง > เหนื่อย > ง่วง
งั้นก็นอนเร็วน่ะสิ ก็เลยตื่นเช้า
แล้วตื่นเช้าทำอะไร อ๋อ ก็รีบไปทำงาน รีบเลิกงานแล้วไปวิ่ง
จบ
นี่ยังไม่นับรวมเรื่องการเลี่ยงรถติด การได้สร้างสมาธิ(ก่อนเริ่มทำงาน) การตรงต่อเวลา(เพราะเรามีเวลาเพิ่มขึ้น) อีกนะ !
มันก็ดีอย่างเงี้ย
4. กินน้ำ(เยอะๆ)
เนื่องด้วยบุรัสกรเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ด้วยสาเหตุที่ว่า กินน้ำน้อยมาก
บวกกับไปเที่ยวทริปล่าสุดที่เป็น road trip เลยอยู่บนรถเยอะ ยิ่งไม่อยากกินน้ำเข้าไปอีก
วันหนึ่งอยู่ๆปวดท้องขึ้นมา ปวดจนทนไม่ไหว ซึ่งดันทะลึ่งปวดตอนอยู่ต่างจังหวัดและเหตุผลอีกมากมายที่ทำไม่ให้ไปร.พ.สักที เลยไม่หาย
คนที่กินน้ำน้อยมาตลอด ต้องมากินน้ำเยอะมากๆ
นอกจากรักษาตัวเองด้วยแล้ว ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย
ยิ่งช่วงนี้วิ่งด้วยแล้ว การกินน้ำเริ่มเป็นเรื่องง่าย
(การวิ่งในหน้าร้อนเสียเหงื่อมาก เหมือนวิ่งในนรก)
เราจดจำการหิวน้ำได้ง่ายขึ้น เราจึงคว้าแก้วน้ำมากินง่ายขึ้นตามนั้น
อันนี้ที่จริง 4 ข้อที่พูดมานี้ไม่ได้มีอะไรมากพิเศษ อ่านๆไปแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจาก how to ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นต่างๆใน internet
แต่ก็อย่างที่บอก คล้ายๆในข้อ 3
“บอกว่าดียังไง ก็ไม่เข้าใจเท่าทำด้วยตัวเอง”
แต่สำหรับชีวิตช่วงนี้ ก็คงจะต่อประโยคไปว่า
“บอกว่าดียังไง ก็ไม่เข้าใจเท่าทำด้วยตัวเอง และเจ็บด้วยตัวเอง”
สำคัญคือ เราต้องเปลี่ยนความคิดตัวเอง
ไม่งั้นก็เจ็บต่อไป
Leave a comment