เมื่อหลายวันก่อนเรามีโอกาสได้ไปสอน Data Engineer 101 เป็น live session เสริมในคอร์สของ DataRockie มา ในตอนท้ายคาบ เรามีแชร์เทคนิคการเรียนรู้เพื่อตอบคำถาม “How do I become Data Engineer?” ในพาร์ทสุดท้าย ซึ่งฟีดแบ็คค่อนข้างดีเลย เลยมาฉุกคิดได้ว่า ถ้าเราแชร์สิ่งนี้เป็นข้อความด้วยก็คงจะดีนะ?
เนื่องด้วยเทคนิคของเราไม่ได้ตายตัวว่าจะต้องเป็น Data Engineer เท่านั้น แต่พูดถึงโดยทั่วไป ที่สามารถ adapt ได้กับสายงานอื่นๆได้ เพียงแต่จะยกตัวอย่างจากอาชีพที่เราทำอยู่คือ Data Engineer นั่นเอง
การเรียนรู้ของเราต่างกัน
เมื่อหลายปีมาแล้ว เราเคยอ่านหนังสือชื่อ Managing Oneself ของ Peter F. Drucker เป็นหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการจัดการของตัวเอง และตั้งคำถามให้กับตัวเอง หลายบทอาจจะมีความเก่ามากแล้วเพราะหนังสือถูกเขียนไว้นาน แต่บางบทก็ยังคงสามารถ adapt ใช้ได้ในปัจจุบัน
มีบทหนึ่งที่เราชอบๆและประทับใจจนถึงทุกวันนี้ เราอาจจะคำพูดไม่ได้เป๊ะ แต่บทนั้นเล่าว่า การเรียนรู้ของแต่ละคนต่างกัน โดยเราเล่าสั้นๆและขอแบ่งออกเป็น 3 อย่าง
- การฟัง
- การอ่าน
- การเขียน
หลายๆคนมีความถนัดที่แตกต่างกัน บางคนก็ถนัดในการฟัง แค่ฟังเพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าใจทะลุปรุโปร่ง บางคนถนัดการอ่าน และสุดท้ายบางคนก็ถนัดการเขียน แต่สำหรับเรานั่นไม่ได้แปลว่าในการเรียนรู้เราจะยึดวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว เราสามารถทำทั้งหมดนี้ได้
การฟัง
สำหรับหัวข้อที่เราอยากเข้าใจอะไรที่เป็น overview มากๆ ในหัวข้อที่เรายังไม่เคยใช้แต่อยากเข้าใจมันมากขึ้น เรามักจะเปิด Youtube ก่อนเสมอ
อย่างสมมติเราอยากเข้าใจว่า Redis คืออะไร (database ประเภทหนึ่ง) เราก็จะเสิร์ชสิ่งนี้ใน Youtube ก่อนเลย การฟังจากการเล่าเรื่องของคนอื่นภายใน 10–30 นาที ย่อมได้ของที่ย่อยมาแล้วระดับนึง ให้เราเข้าใจในระดับคร่าวๆ

ยกตัวอย่าง ในพาร์ทของ Data Engineer เรามักจะฟัง Seattle Data Guy เพราะเขาทำงานสาย Data Engineer โดยตรง และทำ content โดยเฉพาะ มีหัวข้อที่เป็นพื้นฐาน ( software engineer ต่างกับ data engineer ยังไง?, should I become data engineer? ) จนไปถึงการตอบคำถามยอดฮิตอย่าง certificate ไหนควรจะมี? Interview Questions มีอะไรบ้าง? คอร์สไหนน่าเรียนสำหรับ data engineering?
และก็ยังมีหลาย channel ไม่ใช่แค่พาร์ทของ Data Engineer อย่างเดียว (เพราะ skill นี้มันกว้างมาก) ก็มี Web Dev Simplified ที่พูดถึง Software Engineering ที่สอน coding (HTML, CSS, Javascript in 10 mins) สอน database ต่างๆ แถมยังมีสอน SQL ด้วย !

บาง video ก็ไม่ได้เพียง overview ละ เพราะเล่าเป็นชม. (ฮา)
แค่กด subscribe แล้วแวะเวียนเข้าไป video พวกนี้ก็จะ suggest มาให้ ต้องขอบคุณ suggesting feature ของ Youtube
การอ่าน
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนที่ชอบจำด้วยภาพ การฟังหรือดู Youtube ก็ยังเป็นเพียงบันไดขั้นแรก
หากเราอยากเรียนรู้ถึงหัวข้อหนึ่งที่สามารถสร้างความจำและความเข้าใจที่มากขึ้น หัวข้อที่จำเป็นต้องเรียนรู้จริงๆเพราะต้องใช้งานในการทำงานปัจจุบัน
เช่น วันนี้เราต้องใช้ Kubernetes เป็น เพราะต้อง setup Airflow บน Kubernetes ด้วย config แบบนี้ๆให้ได้ เริ่มมองหาอะไรที่มัน unique ในแง่การใช้ง่ายนิดนึงละ
ที่ๆเรามักไปมองหาคือ มีคนเคยเขียนบทความพวกนี้ไว้หรือเปล่านะ? มีใครเคยทำ tutorial พวกนี้ไว้ไหมนะ?
ถ้าไม่นับว่าการ search google คือทางออกแรก เว็บๆหนึ่งเรารู้สึกว่ามีคนเขียนแนว tutorial และการ setup แบบ hands-on คือ Medium.com
ระบบของ Medium เป็น model ในเรื่อง publication ประมาณว่าเป็นสำนักพิมพ์ ก็จะมีผู้เขียน ( Author ) ที่เขียนให้ความรู้ต่างๆไม่ว่าความตั้งใจนั้นจะเป็นการโปรโมต product ในสำนักพิมพ์ตัวเอง หรือเป็นการประชาสัมพันธ์ก็ตาม คนอ่านก็ยังถือว่าได้ประโยชน์อยู่ดี ยิ่งถ้าผู้อ่านมีความรู้เพิ่มขึ้นก็มีโอกาสที่เขาจะขายได้มากขึ้น หรือทำให้บริษัทตัวเองเป็นที่รู้จัก
เราว่าสิ่งหนึ่งที่เป็น key ที่ทำให้เราชอบใน medium คือหลายเว็บไซต์ก็นำ content พวกนี้ในเว็บมาโพสใน medium เหมือนกัน ทำให้เราสมัคร account เพียงที่เดียวและติดตามได้โดยมีระบบ suggestion โชว์ขึ้นมาตลอด
บางบทความก็อาจจะไม่ได้เล่าละเอียดมากเท่าไร ดังนั้นถ้าหากเราจะเข้าใจอะไรที่ละเอียดขึ้นไปต้องทำยังไง?
ใช่ค่ะ การอ่านหนังสือเป็นเล่มๆนั่นเอง

คิดดูว่า job ของเราอะไร เราต้องมีความเข้าใจและอยู่ใน context นี้ระดับหนึ่ง การอ่านจึงเป็นที่ๆหนึ่งที่ทำให้เราท่องโลกๆนั้นยิ่งกว่าหนังซะอีก
สำหรับเรา หากคิดว่าฉันต้องรู้สิ่งๆนี้ให้ได้ ก็จะซื้อหนังสือเป็นเล่มๆมาเลย แล้วมาอ่านแบบยับเยิน ก็คือไฮไลท์, จดโน้ต, มาร์กว่าอ่านถึงหน้าไหน แบบไม่กลัวหนังสือเสีย เมื่อก่อนเคยคิดเหมือนกันว่าหนังสือก็ควรถนอมมันดีๆ (เพราะราคาหลายพัน) แต่อ่านแล้วมันไม่จำอ่ะ ไฮไลท์แล้วจำได้มากกว่า ก็เลยฉุกคิดว่าอ่านแล้วไม่จำ มันคือการไม่ให้เกียรติหนังสือรึเปล่า เลยปล่อยวางแล้วไฮไลท์รัวๆ5555

และถ้าให้ซื้อมาเก็บหมดก็คงไม่ไหว ที่ๆหนึ่งที่เราชอบมากคือในเว็บ Oreilly
มีหนังสือมากมายให้อ่านในนั้น ตั้งแต่เบสิคจนสอนเป็น tutotial เหมือนกัน ถ้าแนว tutorial เราก็จะอ่านผ่านเว็บแทนเพราะของพวกนี้มันจะ outdate ไปตามยุคสมัย ถ้าอ่านออนไลน์แบบนี้น่าจะคุ้มกว่า ดังนั้นถ้าซื้อเก็บเราจะเก็บที่เป็นพวกพื้นฐานมากกว่า

ทั้ง medium และ Oreilly ทำไฮไลท์ได้ จริงๆหลักๆคืออ่านที่ไหนก็ได้ที่ทำไฮไลท์ได้แหล่ะ มนุษย์ผู้รักการไฮไลท์ 55555
การเขียน
มาถึงพาร์ทสุดท้าย บอกเลยว่าส่วนตัวเราว่าวิธีการเรียนรู้นี้เวิร์คกับเรามากที่สุด
หากเราอ่านเพื่อความเข้าใจแล้ว แต่ถ้าหากเราอยากจดจำ และยิ่งจำใน long-term memory แล้ว การเขียนคือหนึ่งในทางออกที่ดี (เพราะดีที่สุดคือเป็นการสอน แต่เราจะไม่พูดถึงพาร์ทนั้น)
สมมติว่าเราไปลอง tools ตัวใหม่ชื่อ DataHub เราเริ่มใช้งานมันได้ระดับหนึ่งละ และเริ่มเข้าใจว่ามันทำงานยังไง ดังนั้นเราจะเริ่มเขียนเพื่อทำให้ทุกครั้งที่เราลืม เราจะมีที่ๆนึงที่สามารถ backup ความทรงจำได้ตลอดเวลา
เราจะมีหน้า blog list ของเรา ที่เขียนใน Notion โดยแบ่งออกเป็น Note, Backlog, Doing, และ Completed

เราจะเก็บสิ่งที่เขียนเกี่ยวกับ DataHub ไว้ใน Doing ก่อนถ้ายังศึกษาอยู่ แต่ถ้าช่วงนั้นยังไม่อยากเขียนก็จะเลื่อนกลับไป backlog ก่อน แต่แน่นอนว่า ยิ่งเขียนตอนที่ความรู้ยังสดใหม่อยู่ ย่อมดีกว่าเสมอ
เมื่อมีเวลาว่าง เราจะหันกลับมาดู board นี้ เพื่อเตือนว่า อย่าทิ้ง document หรือความรู้ทิ้งไว้ เพราะหล่อนไม่มีทางจำมันได้อีกแน่นอน (เสียงในหัว) เราจะพยายามเขียนมันต่อ และบางครั้งก็เขียนมันในมุมมองของคนนอกอ่านเข้ามามากขึ้น
การเขียนหรือสรุป จะทำให้เรามองมุมที่กว้างกว่าการอ่าน เราจะคิดมากขึ้นว่า
“นี่ฉันเขียนอะไรอยู่นะ?”
“คนที่มาอ่านเขาจะเข้าใจไหมนะ?”
“สิ่งที่เขียนมันสำคัญยังไงนะ?”
“ทำไมเขาถึงสร้าง DataHub ขึ้นมานะ? สร้างโดยใคร แก้ปัญหาเรื่องอะไร?”
เราจะเริ่มมี critical thinking มากขึ้น
และเมื่อเราเขียนเสร็จแล้ว เราอาจจะนำไปเก็บใน Note ไม่ก็ publish มันออกสู่โลกภายนอก ใส่ลง blog ส่วนตัว เหตุผลนั้นเพราะเราเชื่อว่า บนโลกใบนี้ยังมีคนที่ไม่รู้สิ่งๆนี้และมันคงมีประโยชน์เหมือนที่เรายังคง search สิ่งเหล่านี้ใน search engine อยู่น่ะแหล่ะ
ย้อนกลับไปถึงวิธีการอ่านด้านบน เราอาจจะได้ช่วยใครสักคนก็เป็นได้
อีกสาเหตุคือ การแชร์สิ่งพวกนี้มันทำ driven ทำให้ community เรากว้างขวางขึ้น ยิ่งเราเขียนก็จะมีคนเริ่มช่วยตั้งคำถามกับมันมากขึ้น เราก็จะเก่งขึ้นโดยปริยาย
Learn Today
อีกที่ๆหนึ่งที่เราชอบ Note ไว้เสมอ คือ learn-today
ในโลกที่ทุกคนประสบความสำเร็จ ทุกครั้งที่เราเห็น บ่อยครั้งเราจะเริ่มเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น จนหลงลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เราเห็นจากคนอื่นก็เป็นเพียงยอดน้ำแข็งเหมือนกัน
เราไม่มีทางรู้ว่า background knowledge ของแต่ละคนผ่านอะไรมาบ้าง แต่เราดันไป judge สิ่งที่เราเห็นกับตัวเราเองไปแล้ว
ที่ๆเรามักจะโน้ตไว้เสมอคือ วันนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากงานที่ทำไม่ก็คอร์สที่เรียน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กหรือจะใหญ่ (ถ้าใหญ่เกินก็ไป blog list เลย) คอยย้ำว่า เฮ้ย วันนี้เราเก่งกว่าเมื่อวานอีกนะ
อย่าเอาตัวเราไปเทียบกับคนอื่น แต่เอาตัวเราเทียบกับตัวเราเมื่อวานนี่แหล่ะ

ไอเดียนี้ เราได้จากที่ทำงานเก่าที่ Pronto Tools เราจะมี slack channel ไว้แชร์ knowledge ต่างๆ แต่นั่นมันประกอบด้วยคนหลายคน บอร์ดนี้จะ focus แต่เพียงตัวเราเองเท่านั้น
อาจเป็นเรื่องตลก แต่อีกนัยนึง ถ้าช่วงไหนเราไม่มีอะไรเขียนมาสัก 2–3 เดือน อาจจะเป็นไปได้ว่าเราควรมองหาที่ทำงานใหม่ไหมนะ? 555
สิ่งนี้จะเป็นตัวที่คอย recheck เราอยู่เสมอ
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือบางวันเราไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่เป็นไร เราอาจจะป่วยไปฉีดวัคซีน เราต้องฝึกให้อภัยตัวเราเองด้วย
สรุป
เล่ามาจนจบ ก็หวังว่าแต่ละเทคนิคอาจจะเป็นประโยชน์กับใครหลายคน เราเชื่อว่าแต่ละคนย่อมมีความถนัดที่ไม่เหมือนกัน ในการเรียนรู้สิ่งเดียวกันสำหรับบางคนใช้เวลาสั้น บางคนใช้เวลายาว บางคนใช้เวลาเป็นเดือนในการสั่งสม และสิ่งพวกนี้ก็สามารถเปลี่ยนไปได้ตามเวลา ปีหน้าเราอาจจะพบว่าการเขียนไม่เหมาะกับเราแล้วก็ได้ หรือเราอาจจะเลิกเขียนบล็อกแล้ว แต่เราก็ยังหวังว่า เรามีความเก่งขึ้นในทุกๆวัน ทุกๆเดือน แม้มันจะไม่ก้าวกระโดด แต่ถ้าเราพยายาม เราเชื่อว่ามันเป็นไปได้แน่นอน

Leave a comment