เที่ยวญี่ปุ่นหลังเปิดประเทศ ฉบับคนชอบ Ghibli, Disney และ USJ แบบยังไม่รวมเรื่องของกิน
ปี 2022 จะจบแล้ว เราไม่ได้เที่ยวต่างประเทศมานานมาก คิดถึงอากาศหนาวๆ เลยตัดสินใจว่าจะไปสักประเทศแหล่ะ
และประจวบเหมาะพอดีว่าไมล์สะสมใน Alaska ยังเหลือ สามารถนำไปแลกเป็นตั๋วเครื่องบินไป-กลับได้
“งั้นไปญี่ปุ่นดีไหม”
ไม่ได้ไปนานแล้ว ล่าสุดที่ไปก็ก่อนโควิด เดือนธันวาคมปี 2018 ตอนนั้นไป Tokyo, Osaka, Kyoto ซึ่งเราชอบ Kyoto มากกก
จนตกลงว่าจะไปญี่ปุ่นละ งั้น.. ไปกี่วันดี
นั่งคำนวนวันหยุดตัวเอง, วันหยุดบริษัท, ดูช่วงเวลาที่ตั๋วสามารถแลกได้ ไปๆมาๆ งั้น Dec 3–16 เลยไหม ไป 14 วันเลยละกัน บินไป Osaka กลับที่ Tokyo !
การเตรียมตัวไปญี่ปุ่น (หลังโควิด)
ก่อนจะถึงจะเวลาเที่ยว เราก็เตรียมตัวตั้งแต่ list สถานที่ที่อยากไป แล้วซื้อตั๋วเดินทางภายในญี่ปุ่น
ซื้อตั๋วผ่าน Klook
ตอนนั้น Klook จัดอีเวนท์ที่ Central World พอดี เราก็ไปตามล่าส่วนลดในงานแล้วกลับมาที่บ้านจองหน้าคอม
ตั๋วที่เราได้มาจาก Klook มี JR pass, Disney Sea, Universal Studios
ลดไปประมาณ 7886 บาท คุ้มมากๆ

- ส่วน Kaiyukan เราซื้อที่หน้าสถานที่ได้ไม่ต้องรีบ
- Ghibli Museum มีขั้นตอนการซื้อที่เปลี่ยนไปหลังโควิด เขาไม่เปิดช่องทางในชาวต่างชาติจองออนไลน์ได้แล้ว แม้เราจะพยายามไปกดในเว็บแล้ว Google Translate ก็ติดที่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตที่ออกในญี่ปุ่น เลยให้เพื่อนญี่ปุ่นจองให้ผ่านแอพ Lawson (อ่านเรื่องราวละเอียดได้ต่อข้างล่าง)
ติดตามข่าวสารที่ https://www.facebook.com/klookth/ เผื่อมีส่วนลดดีๆ
ลงทะเบียนใน Visit Japan Web
เป็น step ที่เพิ่มมาหลังโควิด ก่อนบินเราเตรียมตัวด้วยการ register account และกรอกรายละเอียดพวก แผนการเดินทาง, ข้อมูล passport, vaccine certificates, immigration clearance, customs declaration แล้วเราจะได้ QR code มา 2–3 แบบ ที่จะใช้ในการสแกนตอนบินถึง
จุดนี้บอกเลยว่าสะดวกมากๆ เว็บไซต์เขามี UX ค่อนข้างดี เว็บไม่ช้า ใช้เวลาไม่นานเลยทั้งตอนกรอกข้อมูล (กรอกไม่กี่ชม.) และตอนไปถึงเสียเวลาแค่ต่อคิว นอกนั้นก็สแกนจบไว
ลงทะเบียนได้ตามลิ้งล่าง
https://vjw-lp.digital.go.jp/en/
สมัครบัตร JCB และบัตรอื่นๆ
- บัตร JCB ถือว่าเป็นอาวุธกายสิทธิ์ที่ควรมีคู่ตัว เพราะใช้เป็นส่วนลดซื้อของได้ เช่นที่ตึกม่วง Takeya เวลาซื้อของฝากกลับ
- ส่วนบัตรเครดิตที่นั่ง lounge ได้อันนี้แล้วแต่ตามสะดวก ซึ่งเราได้ใช้แค่บินจากสุวรรณภูมิ (เศร้า) รายละเอียดเพิ่มเติม
- มีบางบัตรที่สามารถทำให้เรียกรถลีมูซีนรับ-ส่งจากสนามบินได้ปีละ 2 ครั้ง อันนี้แนะนำ สะดวกกับคนที่มีกระเป๋าเดินทางใหญ่ๆหลายใบ เอามาใช้กับทริปที่ต้องเดินทางสาธารณะจะคุ้ม เคสนี้เราใช้ Citibank Prestige
- บัตร Youtrip ก็ถือว่าโอเค เอามาใช้จ่ายควบคู่กับ JCB
ทริปนี้เราใช้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต บัตรเครดิตใช้ตอนร้านอาหารใหญ่ๆหรือซื้อของมูลค่าเยอะๆ ส่วนเงินสดก็ใช้เข้า Lawson, ร้าน local ทั้งหลาย เพื่อเอาเศษเหรียญหยอดตู้สั่งอาหารอัตโนมัติและตู้กาชาปองต่างๆ
การซื้อเสื้อผ้า โค้ท หมวก เพราะไปหน้าหนาว
อากาศช่วงที่ไป 7–18 องศา แต่มีลมพัดแรงก็จะ feel like 3 องศา
- พวกโค้ทเราซื้อจากที่เมืองไทยตามร้าน instagram พวกร้านมือสองมีเยอะ ราคาถูกและทันสมัยดี แนะนำร้านนี้ https://www.instagram.com/coat_iloveyou/
- ถุงน่องแบบมีบุข้างใน ซื้อที่ไทยตาม instagram ได้เหมือนกัน
- หมวก กระโปรง เราซื้อที่ตึกแดงจตุจักร มีหลายร้านที่เป็นแบรนด์เนมมือสอง ได้หมวก Uniqlo ที่หายากมา น่ารักมาก
- ถ้ามีเวลาในญี่ปุ่น แนะนำมาซื้อเพิ่มที่ Uniqlo ที่ญี่ปุ่นเลย ราคาถูกกว่าไทยเยอะ
จบละกับการเตรียมตัว คราวนี้เป็นโน้ตสเปะสปะตลอด 14 วันในประเทศ
แพลนเที่ยว Osaka, Kyoto, Tokyo
และแอบแวะไป Nagoya และ Nikko อย่างละวัน

บันทึกการเดินทาง
JR Rail Pass หน้าตาเปลี่ยนไป
เมื่อก่อน JR Pass จะมาเป็นเล่มๆเลย ตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็นใบเขียวเล็กขนาดเท่าบัตรเครดิต (ด้านซ้าย) และหากเรา reserved seat ก็จะมีอีกใบที่ออกให้ (ด้านขวา)
ในการออกใบ JR pass เราเอาเอกสารที่ซื้อจาก Klook ไป activate ที่ JR Ticket Office ก็จะได้ใบเขียวด้านซ้ายมา
ที่สำคัญคือห้ามหาย ! ใบซ้ายใช้ตลอด 7 วันห้ามหายเลย ใบละ 7 พัน 😂

นั่ง Shinkansen ครั้งแรก
ถึงจะรู้ว่าหน้าตา JR pass เปลี่ยนไป แต่เราไม่เคยนั่ง JR ในญี่ปุ่นเลย โดยเฉพาะชินคันเซ็น
แต่ทริปนี้เราเริ่มเที่ยวข้ามจังหวัดมากขึ้นและต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ JR pass จึงคุ้มที่จะซื้อ
เราเลยได้นั่งชินคันเซ็น หลาย route อยู่ ได้ประสบการณ์กิน Ekiban (ข้าวกล่องรถไฟ) ชิคๆ
ถึงแม้จะชอบใจรถไฟความเร็วสูง สะดวกสบาย มีห้องน้ำ แต่รถไฟมันค่อนข้างโยกๆเท่าไร จะอ้วกอ่ะ ถ้าเป็น route ที่หลายชม.หน่อย เรานอนหนีเลย



เห็นภูเขาไฟ Fuji จาก Shinkansen
ความพีคคือหากนั่งชินคันเซ็น ขาที่วิ่งจาก Kyoto มา Tokyo จะเป็น route ที่เห็นภูเขาไฟฟูจิด้วย
ซึ่งเป็นอันรู้กันว่า ลุ้นว่าจะได้เห็นฟูจิซังไหม เพราะบางทีน้องเมฆชอบมาบัง แต่เราโชคดีมากที่วันนั้นฟ้าเปิด ไม่มีเมฆเลย
เวลาไม่กี่นาที แต่เป็น Highlight ของวันไปเลย 🙂



ถ่ายรูปใบไม้แดง ใบไม้เหลือง
ช่วงที่ไป เป็นช่วง Fall จะเข้า Winter แต่ยังมีใบไม้แดงหลงเหลืออยู่นะ
- แนะนำให้ลองเสิร์ช Autumn Foliage Forecast เพื่อเช็คพื้นที่ดู
- เช็คเว็บบอกสีใบไม้แบบสถานการณ์ปัจจุบัน
https://vjw-lp.digital.go.jp/en/
เก็บภาพบางส่วนมาฝาก




การเดินทางด้วยรถไฟ
- การเดินทางใน Google Maps เทพมาก ขนาดบอกว่านั่ง car no. ไหนดีสำหรับต่อไปอีกรถ
- ควบคู่กับแอพ Japan Travel ความดีงามของมันคือเราเลือกว่าเรามี pass อะไรแล้วมันจะจัด route ให้



ทริปเน้นกิน
รอบนี้เราเน้นของกินมากๆ ดูรีวิวทั้ง Google Maps และ Tabelog
และสิ่งที่เรียนรู้มาเพิ่มคือ หากร้านไหนคนญี่ปุ่นต่อคิวเยอะๆ อดทนต่อเถอะ เพราะอร่อยจริง
ไว้รีวิวร้านอาหารต่างจะแยกเป็นอีกบทความ
ได้ไป Kaiyukan Aquarium (สักที)
รอบที่แล้วที่มา เราดันติดไข้หวัดใหญ่ตอนท้ายๆทริป ซึ่งทำอดไป Kaiyukan Aquarium ที่เราอยากไปมากกกกก
รอบนี้ได้มาสักที ได้ดูปลาวาฬ ปลากระเบน เพนกวิน แมวน้ำ น่ารักมากกก




เดินเยอะมาก จนต้องเปลี่ยนรองเท้า
เราเดินเยอะมากๆ ตอนอยู่ไทยนั่งติดกับเก้าอี้ไม่ค่อยเดิน แต่มาญี่ปุ่นเดินวันละ 17000–20000 ก้าว รู้สึกดีที่ได้กลับมาขยับตัวอีก แต่ปวดเท้ามากเช่นกัน ต้องเอาเท้าแช่น้ำร้อนทุกวัน5555


มีเปลี่ยนรองเท้าด้วย ตอนแรกใส่ New Balance นะ แต่พอเดินเยอะมากๆ และเราเท้าแบนมาก เลยให้แม่หยิบ Saucony Endorphine shift 2 จากที่บ้านมาให้หน่อย (แม่เดินทางตามมาทีหลัง)
กลายเป็นใส่ Saucony ทั้งทริป55555
ความดีงามคือรองเท้านี้เหมาะกับคนเท้าล้ม คนเท้าแบน และจะล็อคข้อเท้าได้ดีกว่า
พาป๊ากับแม่เที่ยว
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เหมาะพาป๊ากับแม่เรามาเที่ยวมาก
- เพราะค่อนข้างปลอดภัย
- สถานีรถไฟมีลิฟท์เยอะ เหมาะสำหรับขนย้ายกระเป๋าใบใหญ่หลายๆใบ
- ถือว่าได้พามาออกกำลังกายด้วย ได้เดินเที่ยว ถ่ายรูป
ความตลกอย่างหนึ่งคือเราบอกป๊าว่ามาญี่ปุ่น ป๊าก็พูดประมาณว่า “มาอีกแล้วเหรอ มาซ้ำทำไม” แต่พอมาจริงๆแกดูเอนจอยมาก แค่เดินถนน ดูนั่นดูนี่แกก็ดู architect บ้านเมืองเขาไปเรื่อย แค่นั้นก็สนุกแล้ว หรือแบบเราเน้นเที่ยวสวนสนุก แกก็ชอบถ่ายรูป ดูคนกรี๊ดบนรถไฟเหาะ
ส่วนแม่ก็ชอบกินข้าวแกงกระหรี่สุดๆ ชอบ Hinoya มาก ถึงกับต้องกินซ้ำ5555
ความพิเศษอีกเรื่องคือ รอบนี้ขาเข้าประเทศ เราใช้เรียกรถรับส่งจากสนามบินให้ป๊ากับแม่ (เพราะเราบินถึงก่อน เลยแยกกันมา) และไม่มีโหลดกระเป๋าเลย เพราะกระเป๋าใหญ่มาโหลดไว้กับเราหมด แกเลยสบายไม่ต้องเข็นกระเป๋า+ไม่ต้องเดินทางรถไฟเอง
ส่วนขากลับก็เรียกรถเหมือนกัน ไม่ต้องเหนื่อยขนขึ้นรถไฟ ได้นั่ง Alphard ด้วย (เพิ่งเคยนั่ง)
พ่อแม่ฉันต้องสบายในทริปนี้5555
อย่าไว้ใจหมุดที่พัก Airbnb
ที่พักที่ Osaka เป็น Airbnb โดยเราจองแถว Dotonbori
ซึ่งมารู้ว่าตอนดู location ผ่านเว็บกับตอนพักจริงจะต่างกัน เจ้าของห้องเขาจะส่ง Exact location ตามมาอีกทีก็ต่อเมื่อเราจองแล้ว
เลยทำให้มีเรื่องเกินคาดว่าต้องเดินไกลขึ้นจากสถานี คราวนี้เราเข็นกระเป๋าใหญ่หลายใบ มันเลยเหนื่อยมาก (ฮือ)
อีกเรื่องคือตอนหาที่พักในโตเกียว ไม่ได้ดูว่ามันไม่มีลิฟท์ อย่างเศร้า ต้องแบกกระเป๋าใหญ่ขึ้น 4 ชั้น เหนื่อยมาก
นอกนั้นถือว่าแพลนทริปมาดีละ เพราะกลางๆทริปที่พักที่ Kyoto เป็นโรงแรม เลยฝากกระเป๋าได้แล้วไปเที่ยวต่อ
Universal Studios Japan มีโซนใหม่คือ Mario !
โซน Mario ที่เปิดใหม่ เป็นที่ฮอตฮิตมากก ปกติเราซื้อตั๋วปกติของ USJ ก็ต้องจองเพิ่มจากในแอพด้วย โดยมีเวลาเข้าเป็นรอบๆไป เข้าได้ครั้งเดียว ถ้าออกแล้วจะเข้าไม่ได้อีก
พอเข้ามาถึงเข้าใจทำไมเข้าได้รอบเดียว เพราะ space มันเล็กมากถ้าเทียบกับ scale พื้นที่ใน USJ
บอกเลยว่าใครชอบ Nintendo และรัก Mario แล้ว โซนนี้ไม่ควรพลาดมากๆ เขาทำสถานที่ได้สวยมากจริงๆ
ความเทพอีกอย่างคือ ตัวละครในมาสคอตเป็นโรบอท และใช้คนควบคุมด้านข้างแทน ดังนั้นห้ามกอดนะ !


Disney Sea
ทริคอย่างหนึ่งของการไปสวนสนุกคืออย่าไปเสาร์-อาทิตย์ แต่นี่ขนาดเราเลือกมาวันอังคาร คนก็ยังเยอะเลย
รอบนี้ได้เล่น Journey to the center of the Earth ด้วย รอบที่มาล่าสุดคือ 8 หรือ 10 ปีที่แล้ว คืออดเล่นเพราะเขา maintenance อยู่






วิธีจอง Ghibli museum ไม่เหมือนเดิม
ก่อนยุคโควิด เรายังมีเว็บที่ชาวต่างชาติสามารถกดเข้าไปซื้อบัตร Ghibli Museum ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีช่องทางนั้นแล้ว เอเจนซี่ที่รับกดบัตรก็หายเกลี้ยง
พอเราเข้าไปจองด้วยตัวเองที่เว็บเอง (ซึ่งเขาก็เขียนว่าเฉพาะคนญี่ปุ่นเท่านั้น) กด translate เอา สุดท้ายก็ติดที่ต้องจ่ายด้วยบัตรที่ออกภายในญี่ปุ่นเท่านั้น
สุดท้ายเลยได้เพื่อนที่อาศัยอยู่ญี่ปุ่นช่วยกดให้ แต่ความยุ่งยากอย่างหนึ่งคือ หากกดผ่านแอพ Lawson เป็น ticket online เพื่อนคนจองต้องมาด้วยนะ



ข้างในจะมีโรงหนังที่ผลัดเปลี่ยนโชว์หนังสั้นเรื่อยๆ รอบนี้เราได้ดูอีกเรื่องที่รอดูมานาน ดีใจมาก 🙂
เพิ่งเคยไป Roppongi ครั้งแรก เห็น Tokyo Tower ครั้งแรก
ตั้งใจว่าจะไปดู Christmas market ที่เปิดเฉพาะช่วง Dec พอดี
Christmas Market ก็ไม่ค่อยมีอะไร ผิดหวังนิดหน่อย แต่ดูไฟแล้วสวยดี มาญี่ปุ่นตั้งหลายรอบแต่ไม่เคยมา Tokyo tower


ความพัฒนาที่อยากให้ไทยมีบ้าง
- Yellow dot tactile paving for blind people

- ก่อสร้างกลางทางเท้า มีคนช่วยโบกทาง ช่วยอำนวยความสะดวก ถึง 2–3 คน (อยู่อีกด้านของในรูป)

- สถานีต่างๆมีการรีโนเวท รวมถึงห้องน้ำในสถานีด้วย เราไม่เจอส้วมหลุมในทริปนี้เลย
- รถพยาบาลเปิด siren วิ่งผ่านแยกไฟแดง จากที่ไฟแดงอยู่ ไฟก็เปลี่ยนเป็นเปิดไฟเขียวให้รถพยาบาลวิ่ง คนในรถพยาบาลก็เปิดลำโพงขอบคุณคนรอข้ามทางเท้าที่รอ 🥹 เจอเหตุการณ์นี้อยู่ 2–3 รอบ
- ประเทศจะเล็กแค่ไหน แต่ก็ยังมีสวนสาธารณะพบเห็นได้ทั่วไป
- อันนี้ไม่นับทางเท้าที่ไม่เคยสะดุดเลยด้วยนะ
แหล่งซื้อ Goods แนะนำสำหรับคนที่ชื่นชอบ Ghibli ใน Tokyo
- Yodobashi/ Big Camera
- Ghibli Musuem
- Kiddyland
- Narita Airport Terminal 2


สรุป
ทริปนี้เหมือนกลับมาเที่ยวสถานที่เดิมๆเพราะคิดถึง เลยกลับมาอีก ถึงแม้ที่เคยไปแล้วก็ยังแวะมาอีกรอบอย่าง USJ, Disney Sea และ Ghibli museum
แต่ที่แตกต่างคือได้นั่ง Shinkansen, ได้เที่ยวเมือง Kyoto เต็มๆหลายวัน, ออกไปเมืองอื่นๆบ้าง เช่น Nikko และ Nagoya แต่ไม่ได้ประทับใจจนอยากเขียน5555
อีกเรื่องคือ หากเทียบกับทริปก่อนๆแล้ว ทริปนี้กินเยอะกว่าและช้อปปิ้งของได้แพงขึ้นกว่าเมื่อก่อน เพราะตอนนี้พอมีเงินเก็บแล้ว ความสุขของการเติบโตมันคงจะเป็นแบบนี้ละมั้ง เวลาอยากได้อะไรมันคิดน้อยกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย
และอาจจะเพราะโชคดีที่เงินเยนเหลือ 0.25–0.26 ด้วย เลยช้อปได้อย่างสบายใจ 😂


Leave a comment