“The demand for tech jobs is growing, rising in the UK by 42% between 2019 and 2021.11 However, the average European girl is losing interest in STEM by the time she’s 15”
ในยุโรป มีผู้หญิงจบปริญญาตรีด้าน Computer Science แค่เพียง 18% และมีผู้หญิงที่ทำงานสายเทคโนโลยีทั่วบริษัทยุโรปเพียง 22%
ดังนั้นเราจะดูตั้งแต่ที่มาที่ไป เพื่อทำความเข้าใจว่าสิ่งใดที่หยุดยั้งเด็กผู้หญิงในการเลือกเรียน Computer Science ในยุค digital ขาขึ้นเช่นนี้
จากการสำรวจที่ Google และ Canvas8 ร่วมกันสำรวจและสัมภาษณ์เด็กนักเรียนและผู้นำการศึกษาทั่วยุโรป จนได้ข้อสรุปมา 6 ข้ออุปสรรคที่มีผลกระทบการการเลือกเรียนต่อ โดยจะขอแบ่งเป็น 3 ส่วน
STEM = Science, Technology, Engineering, and Mathematics
“เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักว่า Computer Science สามารถเป็นสกิลได้”
1. CS ถูกมองว่าเป็นวิชา มากกว่าสกิลที่ควรพัฒนาติดตัว
“We as Computer Scientists also need to see that, okay, so the student could go on to study law, for instance, but then pick up Computer Science as a minor – because they see it as interesting. They might be able to use those skills in their major or in their job later on, but they might not want to become a computer scientist specifically.” – Linda Mannila
เรื่องน่าแปลกที่เรามักเข้าใจว่าหากเราเก่งวิชาไหน เรามักจะมีความสนใจที่จะเรียนต่อในวิชานั้นๆ
แต่วิจัยในโปแลนด์กลับพบว่า เด็กผู้หญิงที่เก่งคณิตศาสตร์กลับไม่ใช่คนที่สนใจจะเรียนต่อ STEM พวกเขาเลือกที่จะเรียนมนุษยศาสตร์หรือศิลปะมากกว่า
ดังนั้นการสอนว่า Computer Science ประยุกต์เข้ากับมนุษยศาสตร์ได้ยังไงจะสามารถดึงดูดความสนใจได้มากกว่า การสร้างวิชา Computer Science ให้ดูปรับเข้าถึงชีวิตจริงจะช่วยให้ต่อยอดให้เด็กๆสามารถดึงความรู้นี้มาใช้ในชีวิตระยะยาวมากขึ้น
Linda Mannila อาจารย์มหาลัยวิทยาลัย ณ Sweden กล่าวว่า “เราต้องแสดงให้เห็นว่า Computer Science ของจริงเป็นยังไง มันไม่ใช่แค่รู้หรือไม่รู้ และ Com Sci ไม่ใช่แค่การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์”
2. มองภาพตัวเองในอนาคตไม่ออก ดังนั้น Role Model จึงสำคัญมาก
“ลองจินตนาการว่าคุณอายุ 12 ปีและมองเห็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จที่อายุ 50 หรือ 60 แน่ๆว่าคุณไม่เห็นตัวเองในอนาคตแบบนั้นเพราะอายุมันห่างมากเกินไป แต่คุณที่อายุ 10-12 ปี มองอนาคตผ่านเพื่อนหรือพี่สาวที่อายุ 15-17 ปี มากกว่าที่จะจินตนาการถึงตัวเองในอีก 10 ปีหน้าหรือการอยู่ในสายอาชีพนี้ว่าเป็นอย่างไร”
– Wiola Klimczak – CEO ของ IT Girls Foundation ในโปแลนด์
อาชีพที่ใฝ่ฝัน แต่กลับดูห่างไกล
ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อหลายปีมากแล้ว สมัยที่เรายังไม่เขียนบล็อกหรือทำคอมมูนิตี้ คนที่เป็น role model ในสายดาต้าของเราคือพี่ฝน Kamolphan
จุดเริ่มต้นคือ Google Cloud Certified ตัว Professional Data Engineer เป็นใบเซอร์ตัวนึงที่เราอยากสอบ เลยสงสัยว่าในไทยมีคนสอบได้ใบนี้เยอะแค่ไหน เลยไปค้นหาดู จำได้ว่าสัดส่วนผู้หญิงไม่ได้เยอะเลย และหนึ่งในนั้นคือพี่ฝน ซึ่งพี่ฝนมีเซอร์เยอะมากก
‘โห คนหนึ่งจะสามารถมี certificate ได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ’ – นั้นคือสิ่งที่เราคิด
นอกจากสอบเซอร์แล้ว พี่ฝนยังเป็นวิทยากรหลักของ DataTH ด้วย สอนเรื่อง Data Engineer และ Machine Learning Engineer
มันเหมือนช่องว่างของ career path มันสั้นลง เมื่อเราเห็นว่าคนที่ดูอายุไม่ห่างจากเราเขาสามารถทำสิ่งนี้ได้ ดังนั้นเมื่อมีคนถามว่าเราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ภาพของคนนั้นๆจะลอยขึ้นมาให้หัวทันที

ในสมัยที่เราเป็นเด็ก เราก็มองไม่ออกเหมือนกันว่าตัวเองจะโตขึ้นแล้วเป็นอะไร ดังนั้นเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราจึงต้องก้าวออกมาเพื่อบอกว่า “ฉันก็ทำได้ เธอก็ทำได้เช่นกัน”
ยิ่งขั้นบันไดจากที่น้องๆอยู่มันเป็น gap ที่เล็กมากเท่าไร น้องๆเขาก็จะมองเห็นและปีนขึ้นไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เรามักจะคิดว่าสิ่งที่เราทำได้มันเล็กน้อย ใครๆก็ทำได้ แต่น้องๆเขาไม่ได้คิดแบบนั้น (เหมือนที่เรารู้สึกว่าพี่ฝนก็ทำได้)
ไม่ว่าเราจะเป็นใครหรือทำตำแหน่งอะไร เราก็สามารถช่วยกันปูทางเดินให้มันง่ายขึ้นสำหรับทุกคนได้
fun fact นึง คือปัจจุบันนี้เราช่วยทำคอมมูนิตี้ Women Techmakers กับพี่ฝนและกลายมาเป็นเพื่อนกัน คุยกันแทบทุกวัน 55555
“ความสนใจเกิดจากอิทธิพลของผู้สอน และสิ่งแวดล้อมรอบตัว”
3. ขาดบุคลากรการศึกษาด้าน Computer Science
‘Computer Science เป็นวิชามาใหม่กว่าคณิตศาสตร์และภาษาที่เป็นวิชาดั้งเดิมที่มาช้านาน นั่นหมายถึงว่าผู้สอนจึงมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เข้าใจตัวเนื้อวิชาได้ดีขึ้น’
ในขณะเดียวกันบุคลากรผู้สอนกลับไม่ได้มีความรู้ที่ลึกมากพอ หรือมีทรัพยากรและเวลาที่เพียงพอ
ประมาณ 2/3 ของผู้สอนในยุโรป ชั้น lower secondary level (ถ้าเทียบที่ไทยคือชั้นมัธยมต้น) เป็นคนไม่ได้จบสาย Computer Science แต่กลับมาสอนวิชานี้
“บางครั้งครูคณิตศาสตร์กับครู Com Sci เป็นคนเดียวกัน ซึ่งตัวครูเองมักจะมองว่า Com sci เป็นเพียง hobby จึงไม่ได้อัพเดท technology ใหม่ๆเท่าที่ควร” — Wiola Klimczak

จากแบบสำรวจ พบว่า 3 สิ่งที่ทำให้คนหนุ่มสาวสนุกกับวิชานั้นมากขึ้น
- เนื้อหาวิชานั้นเอง
- ผู้สอน
- วิธีการเรียน
4. มองภาพไม่ออกว่าเรียนในโรงเรียนแล้วจะไปต่อยอดในชีวิตจริงได้อย่างไร
“หนูไม่คิดว่าการใส่ emoji ใน excel มันจะเป็นประโยชน์ยังไง ตอนเรียนจากวิชา Com Sci อ่ะนะ”
– น้องคนหนึ่งในโรมาเนีย ช่วงอายุ 13-16
“หัวข้อในวิชา Com Sci ที่ฟินแลนด์และสวีเดนสอนเรื่อง block-based programming, games และ animation แต่เมื่อถึงเกรด 7 เท่านั้นแหล่ะ เด็กๆบางคนต้องเรียนโปรแกรมมิ่งที่มีแต่ text ล้วนๆ และมันมองไม่เห็นภาพ วิชาโปรแกรมมิ่งควรเป็นวิชาที่ความคิดสร้างสรรค์ได้โลดแล่น” – Linna Manila
เรื่องนี้จริงมากๆในสมัยเรียนของเรา
สมัยมัธยมปลายเรามีวิชาเรียนภาษาซี จำได้ว่าตอนเรียนก็เข้าใจว่ามันมี logic ยังไง ตอนสอบก็จำๆเอา แถมได้คะแนนดีด้วย แต่ไม่เคยเข้าใจเลยว่าภาษาซีมันมีประโยชน์ยังไง ต้นตอและที่มาที่ไป อะไรคือความสำคัญของการรู้ภาษาซี แล้วถ้ารู้ภาษาซีแล้วจะไปต่อยอดยังไง
สุดท้ายพอเข้ามหาลัยก็ไปเรียนใหม่อยู่ดี ซึ่งมีแต่ text ล้วนๆเช่นกัน
เพราะภาษาซีมัน low-level มากๆ สุดท้ายภาษาที่เปิดโลก programming เรากลับเป็น Python ที่ high-level กว่าเยอะ เสกได้ทุกสรรพสิ่ง ได้ทั้ง web application, automate task, sensor และทำ data ได้ เมื่อเขียนไปเรื่อยๆจนเราถึงแมปภาพได้ว่า ภายใต้ภาษา Python คือภาษาซี
ทั้งนี้เราไม่ได้บอกว่าทุกคนควรเรียน Python แต่แรก หรือ Python ดีกว่าภาษาใด เพียงแต่เมื่อก่อนเราไม่เคยมองภาพว่า programming สามารถช่วยแก้ปัญหาในชีวิตเรื่องใดได้บ้าง หากมองภาพไม่ออกแต่แรก การไปลงลึกตั้งแต่ bottom up อาจจะช่วยแค่สอบผ่าน แล้วบรรจบเป็นปัญหาข้อแรกที่กล่าวไปในตอนต้น

“มองลึกลงไปถึงครอบครัวและเพื่อนรอบข้าง”
5. ผู้ปกครองมีอิทธิพลสำคัญ
ผู้ใหญ่ไม่ค่อยพูดกับลูกๆเขาว่า “หนูทำไม่ได้หรอก” แต่ผู้ใหญ่กลับพูดว่า “ฉันไม่เก่งเลขน่ะ เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมลูกสาวฉันไม่เก่งเหมือนกัน”
– Silvia Mazzeo ผู้ที่ได้รับรางวัลในสาย STEAM ในอิตาลี
“ผู้ใหญ่ไม่ได้โตมากับเทคโนโลยี แต่เด็กๆนั้นกลับเจอตั้งแต่แรก ผู้ใหญ่มักจะรู้สึกฝืนและขาดความเข้าใจว่าควรจะช่วยให้เด็กๆเรียนรู้เทคโนโลยี พวกเขาสามารถคุยกับโรงเรียนเรื่อง digital life ที่เด็กๆเผชิญได้” – Linda
จากการสำรวจพบว่าเด็กสาวมักเชื่อผู้ปกครองว่าควรเรียนอะไร รองมาเป็นผู้สอน และเพื่อน

ดังนั้นผู้ปกครองจึงมีบทบาทสำคัญมากๆในการตัดสินใจของเด็กๆ
6. เพื่อนก็มีส่วนสำคัญ
แน่นอนว่าเด็กผู้หญิง เพื่อนมีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นใจในการเรียนรู้
“การที่ผู้ชายเข้าใจในการทำงานร่วมกับผู้หญิงจึงสำคัญ พวกเขาสามารถโน้มน้าวให้ผู้หญิงสามารถทำงานได้ดีใน STEM และ Com Science ได้” — Judith Gal-Ezer

จากรูปด้านบน เด็กๆบอกว่ายิ่งมีคนที่คล้ายกับพวกเขามากเท่าไร จะทำให้พวกเขามั่นใจในการเรียน Com Sci มากขึ้น
“เด็กๆคุยกันเองมันง่ายกว่าที่พวกเขาคุยกับครู ฉันมักที่จะแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆและชวนให้พวกเขาพูดคุย กฏแรกคือ จัดเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายให้อยู่ด้วยกัน มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะไม่เน้นสร้างความไม่เท่าเทียมทางเพศ” – Silvia Mazzeo
สรุป
จากการสำรวจที่ Google และ Canvas8 สรุปได้ว่าสิ่งที่ทำให้เด็กๆผู้หญิงเลือกที่จะเบนเข็มออกจากสาย Computer Science มีตั้งแต่
- ความเข้าใจและไม่ตระหนักว่า Computer Science นั้นเป็นสกิลที่สำคัญและพาไปสู่อาชีพที่จริงจังได้
- ไม่มี Role Model ให้มองเป็นตัวอย่าง
- สิ่งแวดล้อมที่ปลูกฝังในห้องเรียน การขาดบุคลากรผู้สอนที่เข้าใจด้าน Computer Science และแสดงให้ถึงภาพอนาคตว่าพวกเขาเรียนสิ่งนี้และจะต่อยอดนอกห้องเรียนและชีวิตจริงอย่างไร
- ลงมาถึงพื้นฐานล่างสุด คือครอบครัวและเพื่อน ที่เป็นอิทธิพลที่ส่งผลต่อแนวคิดเด็กๆมากที่สุด
สำหรับผู้เขียนมองว่า แม้ว่าแบบสำรวจและวิจัยจะเน้นที่ฝั่งยุโรป แต่ความเป็นจริงแล้วนี่คือปัญหาที่ทุกชาติสามารถเจอได้เช่นกัน โดยเฉพาะที่ไทยเอง และแม้แต่เราเจออุปสรรคต่างๆครบไม่ต่างกัน
ผู้เขียนจึงได้ตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ แปล สรุปและเรียบเรียงใหม่เพื่อเป็นการตระหนักถึงความสำคัญ และแสดงให้เห็นถึงอุปสรรคที่เด็กๆต้องเผชิญในโลกการศึกษา
หากว่าเราได้ช่วยกันตระหนักและสร้างพื้นที่ที่เด็กๆสามารถมองภาพและต่อยอดในชีวิตจริงได้มากขึ้น
สามารถอ่านต่อ report ผลสำรวจเต็มๆได้ที่นี่
หากแปลแล้วผิดเพี้ยนประการใด คอมเม้นแนะนำกันได้ค่ะ

Leave a comment